17 พ.ย. 2558

ผู้สูงอายุยอดนักอ่าน


          นางอัมพร  ฟ้าสาร  ผอ.กศน.เชียงกลาง  มอบเกียรติบัตรผู้สูงอายุยอดนักอ่าน  ให้คุณพ่อสมัย   ฝีปากเพราะ  อายุ  ๘๘ ปี ผู้สูงอายุจากบ้านรัชดา  หมู่ ๑๑ ตำบลเปือ  ที่ปั่นจักรยานมาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเป็นประจำทุกๆวัน โดยมีนางวนิดา  สมุทรอาลัย  บรรณารักษ์ชำนาญการพิเศษ ให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน




28 ส.ค. 2558

ขอขอบคุณผู้สนับสนุนแว่นสายตาเพื่อส่งเสริมการอ่าน






   ห้องสมุุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง ขอขอบคุณ "หน่วยบริการแว่นตา คุณหานต์  ปัญญาโรจน์กุล ที่ให้บริจาคแว่นสายตา เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการอ่าน ให้บริการ ณ ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ชวนลูกอ่าน เล่านิทานให้ลูกฟัง



                 ชวนลูกอ่าน เล่านิทานให้ลูกฟัง  วันนี้ขอแนะนำ แม่นอม นพรัตน์  กันยะ พร้อมน้องน๊อต  เด็กชายณัฐภัทร์  กันยะ อายุ 3 ขวบ 8 เดือน ผู้ใช้บริการและสมาชิกห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง   จากบ้านเหล่า  ตำบลพระพุทธบาท  ร่วมกิจกรรม " ชวนลูกอ่านเล่านิทานให้ลูกฟัง "  ได้ที่ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง ยินดีต้อนรับครอบรักการอ่านทุกๆครอบครัวจ้า




21 ส.ค. 2558

เปิดหนังสือ เปิดโลก

เปิดหนังสือ เปิดโลก ผู้สูงอายุรักการอ่าน เรียนรู้ตลอดชีวิต  


คุณพ่อสมัย  ฝีปากเพราะ อายุ 78 ปี อ่านหนังสือพิมพ์ และวารสาร ที่ห้องสมุดทุกวัน (ภาคเช้า) โดยปันจักรจักยานจากบ้านรัชดา ตำบลเปือ มาห้องสมุดระยะทาง  1  กิโลเมตร อายุ และระยะทางไม่เป็นอุปสรรค์ต่อการอ่านค่ะ ขอยกนิ้วให้ผู้สูงอายุรักการอ่านค่ะ


คุณพ่อทะเวช  สมฤทธิ์  อายุ 77 ปี  ผู้ใช้บริการห้องสมุดเป็นประจำ จากบ้านสันทนา หมู่ 4 ตำบลเปือ  ระยะทางจากบ้านถึงห้องสมุด ประมาณ 3 กิโลเมตร คุณพ่อบอกระยะทางไม่ใช่อุสรรค์ของการอ่าน   อ่านได้สบายๆไม่ต้องใช้แว่นสายตาค่ะ ขอยกนิ้วให้ผู้สูงอายุรักการอ่านค่ะ 







13 ส.ค. 2558

อาณาจักรนักอ่าน

"อาณาจักรนักอ่าน" งาน มหกรรม กศน.น่าน เพื่อประชาชน ปี 2558 ระหว่าง 27 - 28 กรกฎาคม  2558 ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงกลาง

นายปรีชา โชติทวีวัฒน์ ปลัดจังหวัดน่าน  และผู้บริหาร กศน.ร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน


นักเรียนในระบบโรงเรียนร่วมกิจกรรมร้อยดวงใจ  ใฝ่การอ่าน
ร้อยลูกปัดตุ๊กตาขายาว 
วาดภาพ ระบายสี
สุดยอด  "นักศึกษา กศน.ปัว "
นักศึกษา กศน.อำเภอปัว ร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน  



18 ก.ค. 2558

คนรุ่นใหม่หัวใจรักการอ่าน

"น้องนก" วารุณี  แปงอุด    คนรุ่นใหม่หัวใจรักการอ่าน สมาชิกห้องสมุดเดินทางมาจากบ้านแพะกลาง หมู่ 6 ต.ทุ่งช้าง  ผู้ใช้บริการห้องสมุดเป็นประจำ นำความรู้จากการอ่าน สื่อสารเป็นนิทานพื้นบ้าน (ภาษาไปร )  ผลิตเป็นสื่อการสอนภาษาแม่ เพื่อส่งเสริมการอ่าน ให้กับเด็กวัย 0-7 ขวบ

น้องนก คนรุ่นใหม่หัวใจรักการอ่าน  อ่านและเขียนสื่อสารเป็นนิทานพื้นบ้านภาษาไปร




นิทานพื้นบ้านภาษาไปร เรื่อง  หมาเจ้าปัญหา 

แองจักนัก = ทำอย่างไร   กึด มี ทอก = คิดไม่ออก  มี ซีเอ เม็จ เดอ = มีใครรู้บ้าง  

ส่วนหนึ่งของผลงาน"น้องนก"  สนใจติดตามอ่านนะค่ะ


หนูน้อยยอดนักอ่าน

น้องปิน เด็กหญิงรับพระพร  หนูน้อยยอดนักอ่าน และน้องซอ เด็กชายรับพระคุณ หลวงฤทธิ์  มาใช้บริการห้องสมุดทุกวันเสาร์ พร้อมกับแม่ประภา คุณแม่ผู้ใส่ใจและส่งเสริมการอ่าน เดินทางจากบ้านสร้อยพร้าว ตำบลพระธาตุ ระยะทางห่างไกลจากห้องสมุดประมาณ 8 กิโลเมตร  ขอยกนิ้วให้  สุดยอดครอบครัวรักการอ่านค่ะ


10 ก.ค. 2558

ชวนลูกอ่าน เล่านิทานให้ลูกฟัง

             น้องแพม หนูน้อยรักการอ่าน จากบ้านน้ำมีด ตำบลเปือ ผู้ใช้บริการห้องสมุดวันเสาร์นี้ มาพร้อมกับ แม่นิด คุณแม่คนึงนุช  แปงอุด ร่วมกิจกรรม " ชวนลูกอ่านเล่านิทานให้ลูกฟัง " ได้ที่ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง ยินดีต้อนรับครอบรักการอ่านทุกๆครอบครัวจ้า 

6 ก.ค. 2558

รักการอ่าน สานสัมพันธ์ครอบครัวและชุมชน

มาแล้วจ้า!!!   นวนิยายแนวผจญภัย เพชรพระอุมา บทประพันธ์ของ  พนมเทียนป็นนวนิยายมีขนาดความยาวมากที่สุดในประเทศไทย  จำนวน  48 เล่ม 12 ตอน  สนับสนุนและส่งเสริมการอ่านโดย คุณวันทนีย์  นามะสนธิ ผู้บริหารฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคมของซีพีออลล์  บริจาคให้หมุนเวียนอ่านในชุมชน ติดตามอ่านได้ที่ บ้านรักการอ่านบ้านผู้ใหญ่ชำนาญ  สนธิโพธิ์  บ้านซาววา หมู่ 1 ตำบลพระพุทธบาท เร็วๆนี้ค่ะ

2 ก.ค. 2558

ขอเชิญวัยรุ่น! วุ่นอ่าน แวะมาอ่านนิยายรักสดใสวัยรุ่นจ้า

เชิญชวน...วัยรุ่น! วุ่นอ่าน แวะมาห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลางค่ะ วันนี้ 2 ก.ค.58 ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกห้องสมุด คุณอตินุช  อินต๊ะเม้า ตำบลพญาแก้ว ร่วมส่งเสริมการอ่าน โดยบริจาคหนังสือนวนิยายรักสดใสวัยรุ่นให้ทุกๆท่านได้อ่านค่ะ จำนวน  9 เรื่อง (เล่ม) ขอขอบคุณคุณอตินุช  อินต๊ะเม้า มา ณ โอกาสนี้ค่ะ

26 มิ.ย. 2558

ชวนลูกอ่าน เล่านิทานให้ลูกฟัง

คุณครูบัวรมย์  นาชัยเวียง   คุณแม่น้องติวเตอร์  น้องเต็งหนึ่ง สมาชิกห้องสมุด  "ชวนลูกอ่าน เล่านิทานให้ลูกฟัง" ที่ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลางทุกวันเสาร์ค่ะ ขอยกนิ้วให้สุดยอดคุณแม่รักการอ่านค่ะ

18 มิ.ย. 2558

ชวนลูกอ่าน เล่านิทานให้ลูกฟัง

  "ชวนลูกอ่านเล่านิทานให้ลูกฟัง"  ครอบครัวรักการอ่าน คุณวันวิสา  จอร์แดน คุณแม่น้องสิรินา  และคุณคนึงนุช  แปงอุด คุณแม่น้องแพม สมาชิกห้องสมุด เข้าใช้บริการที่ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง เป็นประจำ

6 พ.ค. 2558

รักการอ่านสานสัมพันธ์ครอบครัว

รักการอ่านสานสัมพันธ์ครอบครัว กิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง ให้บริการสื่อส่งเสริมการอ่าน นิทานคุณธรรมสำหรับเด็ก และสื่อหลากหลายมีไว้บริการ ที่ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง ขอเชิญคุณพ่อ คุณแม่ พาลูกๆหลานๆและทุกท่านเข้าใช้บริการและสมัครสมาชิกห้องสมุดฟรี 

24 เม.ย. 2558

ปี๋ใหม่เมือง รดน้ำ ดำหัว ขอพรผู้ใหญ่

ปี๋ใหม่เมือง รดน้ำ ดำหัว ขอพรผู้ใหญ่
 กศน.เชียงกลาง ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง ร่วมกิจกรรมสงกรานต์  รดน้ำ ดำหัว ขอพรผู้ใหญ่ ณ สำนักงาน กศน.จังหวัดน่าน และ ที่ว่าการอำเภอเชียงกลาง 

 20 เมษายน 2558 ร่วมกิจกรรมรดน้ำ ดำหัว ขอพรผู้ใหญ่ และ นายพีระพงษ์  มหาวงศนันท์ ผอ.กศน.จังหวัดน่าน





ร่วมกิจกรรม รดน้ำ ดำหัว ขอพร นายรังสรรค์  ขวัญเมืองเดิม นายอำเภอเชียงกลาง

15 เม.ย. 2558

วันรักการอ่าน


            ๒ เมษายน ๒๕๕๘ วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ                    สยามบรมราชกุมารี และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้วันที่ ๒ เมษายน ของทุกปี เป็นวันรักการอ่าน ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง กศน.เชียงกลาง ได้ดำเนินงานโครงการวันรักการอ่าน ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเชียงกลาง ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘
โครงการวันรักการอ่าน กศน.เชียงกลาง



นิทรรศการพระราชกรณียกิจสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯายามบรมราชกุมารี และลงนามถวายพระพร

กิจกรมมส่งเสริมการอ่าน และกิจกรรมประกวดหนังสือเล่มเล็ก
        ส่วนหนึ่งของผู้ร่วมกิจกรรมและการมอบรางวัลพร้อมเกียรติบัตรผู้ชนะการประกวดหนังสือเล่มเล็กและการประกวดคำขวัญส่งเสริมการอ่าน






หนังสือพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

23 มี.ค. 2558

ตำนานขนมครก นิทานอาเซียน ประเทศไทย


อากาศร้อน ชวนหนอนอ่านหนังสือ

       ปิดเทอมของหนอนน้อยก็คือการอ่าน วันนี้ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลางมีเรื่องราวศิลปะไทย ความมุ่งมั่นของสาวน้อยคนเก่ง มาฝากกัน 


          วัยใสหัวใจโขน สารคดีเยาวชนชนะ เลิศรางวัลแว่นแก้ว ประจำปี 2554 กับเรื่องราวของเพื่อนรักระหว่างนายปกป้องและนางสาวน้ำใส เมื่อหนุ่มจอมทะเล้นดันไปสัญญาว่าจะเล่าเรื่องโขนให้ฟัง ทั้งที่ตัวเองแอบเคลิ้มหลับ ในชั่วโมงนาฏศิลป์ตลอด แต่เพื่อไม่ให้เสียคำพูดหนุ่มปกป้องจึงต้องค้นตำรามาเล่าสู่กันฟัง ตั้งแต่ที่มาของโขน นาฏศิลป์ชั้นสูงที่กำเนิดในสมัยกรุงศรีอยุธยา วิวัฒนาการจากอดีตถึงปัจจุบัน รามเกียรติ์กับโขน ศิลปะโขนแบบไฟฟ์ อิน วัน เครื่องแต่งกายโขน และปี่พาทย์ที่ขาดไม่ได้ ครัวโขนคืออะไร แล้วนายโขน นางโขน หมายถึงใคร และมารยาทในการดูโขน สนใจเรื่องราวศิลปะไทย หาอ่านได้ที่ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลางจ้า

7 มี.ค. 2558

มอบหนังสือแทนสื่อแห่งความรัก


มอบหนังสือแทนสื่อแห่งความรัก   ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลาง  ขอขอบคุณผู้ใช้บริการและสมาชิกห้องสมุดที่  มอบหนังสือ สนับสนุน และส่งเสริมการอ่านให้ชุมชน  เดือนกุมภาพันธ์ 2558 ดังนี้


1.    คุณสมคิด  เมืองแก่น และคุณประจิน  เมืองแก่น  บ้านสบกอน 2  ต.เชียงกลาง   บริจาคหนังสือ นวนิยายไทย และนวนิยายจีน (กำลังภายใน)   จำนวน  ๔๓  ชื่อเรื่อง  ๔๙ เล่ม


2.  คุณแพรวนภา  ขันทะสีมา บ้านเหล่า ต.พระพุทธบาท อ.เชียงกลาง บริจาคหนังสือ นวนิยายไทย  จำนวน ๑๐  เรื่อง


3.   ตัวแทนบริษัทนิ่มซี่เส็ง สาขาเชียงกลาง  มอบวารสาร ฉบับเดือนกุมภาพันธ์  2558
ขอขอบคุณทุกๆท่านที่มีส่วนร่วมส่งเสริมการอ่านให้กับชุมชนอย่างดียิ่ง

2 มี.ค. 2558

"สิเนหามนตาแห่งลานนา"



                        "สิเนหามนตาแห่งลานนา"  นิยายอิงตำนานลานนาตะวันออก  ประพันธ์โดย นายบัณฑูร ล่ำซำ จินตนิยายรักแห่งเมืองน่าน แบ่งออกเป็นสองภาค คือ ภาคแจ้ง ที่เป็นปัจจุบัน และ ภาคเงา ที่เป็นอดีตเมื่อ 600-700 ปีก่อน สลับกันไปทุกฉาก เป็นนิยายรักแห่งการพลัดพราก ไม่ใช่ชิงรักหักสวาท โดยนางเอก นางพระญาแม่ท้าวคำปิน ชายา พระญาเก่าเกื่อน แห่ง ราชวงศ์พูคา ราชวงศ์แรกของ อาณาจักรน่าน กลับชาติมาเกิดในปัจจุบัน และเดินทางไปเที่ยวจังหวัดน่านเป็นเวลา 7 วัน แค่โครงเรื่อง ก็ชวนให้สนใจติดตามเสียแล้ว  คุณบัณฑูร ได้สอดแทรกแนวคิด การปกครอง การบริหาร การจัดการเรื่องน้ำ ทรัพยากร ไปจนถึงเรื่อง การเมือง  ติดตามอ่านได้ที่ห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงกลางคะ  

นิทานหรรษา


นิทานกระต่ายกับเต่าภาษาอังกฤษ


ภูมิปัญญาการทำข้าวแคบ

 ความสำคัญของภูมิปัญญา    


"ข้าวแคบ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ..  2542  ได้ให้ความหมายไว้ว่า
คือ "ข้าวเกรียบที่มีรสเค็ม ๆ อย่างข้าวเกรียบกุ้ง" ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นภาคเหนือที่เข้าใจกันดี แต่คนท้องถิ่นอื่นอาจไม่คุ้นเคยว่า ข้าวแคบ คืออะไร แต่เมื่ออธิบายต่อไปว่าคือ ข้าวเกรียบธรรมดา เป็นของกินชนิดหนึ่งที่ทำด้วย หรือข้าวเหนียว เป็นแผ่นตากให้แห้ง

วิธีทำ / ส่วนผสม
            1. น้ำ                           1  ลิตร
            2. เกลือป่น                     1  ช้อนชา   
            3. งาดำ                          1  ถ้วยตวง        
            4. แป้งข้าวจ้าว    100   กรัม
            5.แป้งข้าวเหนียวก.ก.
  ขั้นตอนการทำ
           1 . นำแป้งข้าวเหนียว , แป้งข้าวจ้าว ผสม เกลือ, คลุกให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำลงไปผสมให้เข้ากัน
            2. นำมากรองในกระชอนเพื่อไม่ให้แป้งติดกันเป็นก้อน แล้วโรยงาดำลงไป
            3. ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือดโดยใช้ผ้ากลึงไว้ด้านบน จากนั้นตักส่วนผสมใส่บนผ้าที่กลึงไว้ซึ่งจะตักใส่ ประมาณ 1 ทัพพี แล้วเกลี่ยให้เป็นรูปวงกลมให้ทั่วแผ่น
          4. จากนั้นรอให้สุก (สังเกตโดยแป้งจะออกสีใสๆ และบริเวณขอบรอบๆจะโก่งขึ้นมา) ก็ใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นแผ่นบางๆ ตักเอาแผ่นแป้งออก แล้วนำมาวางบน คา  ( หญ้าคาตากแห้งที่เอามาไพ หรือ ถัก ใช้สำหรับมุงหลังคา )  ที่เตรียมไว้จนเต็มก่อนนำไปตากแดด
            5 . เมื่อตากแดดจนแห้งก็นำมาเก็บใส่ถุงไว้ เมื่อต้องการจะรับประทานก็นำมาทอดหรือย่างไฟอ่อนๆได้เลย  การย่าง หรือ การฮิงข้าวแคบ คือการนำเอาข้าวแคบไปปิ้งหรือย่างไฟ  ส่วน การทอด ภาษาท้องถิ่นมักเรียกว่า    การจืนข้าวแคบ ก็จะได้ข้าวแคบที่มีรสชาติแตกต่างกันไป
ประโยชน์ของภูมิปัญญา
                    ข้าวแคบ เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมาถึงทุกวันนี้ เป็นอาหารว่างที่มีราคาไม่แพง และปลอดสารพิษ ทั้งยังเป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชน 
           

ภูมิปัญญาการทำข้าวหลาม


ข้าวหลาม
ความเป็นมา / ความสำคัญ
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.2542  ได้ให้ความหมายไว้ว่า
ข้าวหลาม  คือ ข้าวเหนียวที่บรรจุในกระบอกไม้ไผ่ แล้วเผาให้สุก โดยใช้ข้าวเหนียวแช่น้ำจนอ่อนตัวดีแล้ว กรอกใส่กระบอก ไม้ไผ่ที่ตัดไว้ แล้วกรอกน้ำกะทิผสมเกลือ จนท่วมข้าวเหนียวพอประมาณ อุดปากกระบอก ให้แน่นด้วยใบตองห่อกาบมะพร้าว นำไปหลามจนสุก


วิธีการทำข้าวหลาม
ส่วนผสมที่สำคัญ
            1.  ข้าวเหนียว   10  ถ้วยตวง
            2. กะทิ  4   ถ้วยตวง
            3.  เกลือ   1  ช้อนโต๊ะ
            4. น้ำตาลทราย    1   ถ้วยตวง
            5. ถั่วดำ  1 / 2  ถ้วยตวง
            6. กระบอกไม้ไผ่
            7. กาบมะพร้าวทุบ ห่อด้วยใบตองแห้งหรือสด (ทำจุกอุดปากกระบอก)
 การตัดกระบอกไม้ไผ่
             ตัดกระบอกไม้ไผ่ยาวประมาณ 32-34 เซนติเมตร  ส่วนความกว้างขึ้นอยู่กับกระบอกไม้ไผ่ตามธรรมชาติ ซึ่งจะมีขนาดไม่เท่ากัน โดยส่วนปลายจะได้กระบอกเล็กและไล่ลงมาจนถึงส่วนโคนกระบอกจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อตัดกระบอกไม้ไผ่ได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว นำไม้หุ้มฟองน้ำล้วงเอาเศษผงและฝุ่นละอองออกให้หมด
ขั้นตอนการทำ
            1. นำข้าวเหนียวมาล้างน้ำ แช่ทิ้งไว้ประมาณ  1 คืน แล้วพักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ ขณะเดียวกัน นำเมล็ดถั่วดำมาล้างแล้วต้มจนเปื่อยได้ที่ นำมาคลุกให้เข้ากันกับข้าวเหนียวที่เตรียมไว้
            2. นำน้ำกะทิสดที่คั้นไว้มาผสมกับน้ำตาล และเติมเกลือลงไป คนให้เข้ากัน น้ำกะทิควรมีรสเค็มเล็กน้อย
           
3. นำข้าวเหนียวที่คลุกกับถั่วดำ กรอกลงไปในกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้
            4. นำน้ำกะทิที่ปรุงไว้มากรอกใส่ทีละกระบอก โดยกะปริมาณให้น้ำกะทิท่วมข้าวเหนียวในกระบอก (เว้นส่วนปากกระบอกไว้ประมาณ 1 ใน 4 ของความสูงของข้อกระบอกที่จะใส่ข้าวเหนียวเพื่อเผื่อพื้นที่ไว้ใส่จุก)
            5. เมื่อกรอกครบแล้ว ให้รีบใส่จุกทันที แล้วนำไปวางพาดเรียงกัน ให้กระบอกอยู่ในลักษณะแนวตั้ง เพื่อไม่ให้กะทิหก 


ประวัติเจียงก๋าง

ประวัติความเป็นมา


             อำเภอเชียงกลางแต่เดิมเรียกว่า เมืองเจียงก๋างตามภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ คำว่า เจียงมีความหมายตรงกับคำว่า เชียงซึ่งมีความหมายว่า เมืองส่วนคำว่า ก๋างตรงกับคำว่า กลาง”      นั่นเอง เป็นสำเนียงของคนเมือง (ภาคเหนือตอนบน)   และที่ได้ชื่อว่า เชียงกลางนั้น ตามความบอกเล่าจากภิกษุสงฆ์อาวุโส ตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ราษฎรผู้เฒ่าผู้แก่ สรุปความได้ว่า เดิมทีจังหวัดน่านมีที่ตั้งอยู่ที่อำเภอปัว เรียกว่า วรนครและมีเมืองน้อยใหญ่   ในส่วนเหนือของ วรนคร คือ เมืองเปือ  เมืองและ  เมืองงอบ และเมืองปอน ซึ่งสมัยนั้นข้าศึกศัตรูที่มักยกกำลังมาย่ำยี คือ เงี้ยวหรือไทยใหญ่ หัวเมืองฝ่ายเหนือของ วรนครก็ได้แตกร่นถอยลงมาอยู่บริเวณที่ราบลุ่มปากน้ำกอนที่มาบรรจบกับแม่น้ำน่าน เรียกว่า สบกอนซึ่งบริเวณที่ตั้งของเมืองที่แตกทัพถอยร่นมาตั้งมั่นอยู่ คือ ตรงกลางระหว่างอำเภอทุ่งช้าง และอำเภอปัว    ดังนั้น จึงเป็นที่มาของเมือง เจียงก๋างหรือ เชียงกลางในปัจจุบัน 
อำเภอเชียงกลางได้แยกจากอำเภอทุ่งช้างมาตั้งเป็นกิ่งอำเภอเมื่อปี พ.ศ.2511 และตั้งเป็นอำเภอเชียงกลางเมื่อปี พ.ศ.2514 ปัจจุบันอำเภอเชียงกลางแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 6 ตำบล ได้แก่ ตำบลเปือ ตำบลพระธาตุ ตำบลเชียงกลาง ตำบลพญาแก้ว ตำบลเชียงคาน และตำบล   พระพุทธบาท


1 มี.ค. 2558

ภูมิปัญญาการทำข้าวควบ



ความเป็นมา / ความสำคัญของภูมิปัญญา
 “ ข้าวควบ  ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ..  2542ได้ให้ความหมายไว้ว่า   ข้าวเกรียบใส่น้ำตาลอ้อย มีรสหวานอย่างข้าวเกรียบว่าว ข้าวควบ เป็นอาหารว่างที่นิยมรับประทานกันมาก ลักษณะคล้ายขนมทองม้วน รสหวานกรอบ แต่พองและแผ่นใหญ่กว่า
ส่วนประกอบ / เครื่องปรุ่ง
1. ข้าวเหนียว               2        ลิตร      
2. น้ำอ้อย               300    กรัม                     
3. น้ำตาลปิ๊ป              500    กรัม                                           
4.ใบตอง
5. ไข่                    3   ฟอง
6. ไม้กลม
7. น้ำมัน
8.  น้ำ

อุปกรณ์
                ครกมอง (ครกกระเดื่อง) ไม้กลมนวดแป้ง หญ้าคาที่เป็นตับ ไม้ไผ่มือเสือ ตะกร้าสานใบใหญ่ แผ่นไม้กระดานนวดแป้ง
วิธีทำ 
1. นำข้าวเหนียวแช่น้ำ ไว้ประมาณ 6 – 10 ชั่วโมง แล้วนำมานึ่งให้สุก
 2.นำไปตำในมอง (ครกกระเดื่อง) ให้เมล็ดข้าวแตกละเอียด จนมีลักษณะเหมือนแป้งขนมเทียนสุก
3.  ผสมไข่ น้ำอ้อย น้ำตาลปิ๊บ  ลงตำในครก  ระหว่างที่ตำแป้งให้ใช้มือคนในครกแป้ง และผสมน้ำลงไปพอประมาณ เพื่อให้แป้งเหนียว จนได้ที่แล้วปั้นเป็นก้อน ขนานเท่าลูกมะนาว

4.  ใช้น้ำมันหมูทาแผ่นไม้กระดาน หรือใบตอง ( อาจใช้พลาสติกแทนได้ )ใช้ไม้กลมคลึงก้อนแป้งให้เป็นแผ่นบาง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 - 8 นิ้ว ใช้ไข่ขาวทาแผ่นแป้งทั้ง 2 หน้า
5.  นำวางบนหญ้าคาที่เตรียมไว้ ตากแดดหรือลมให้แห้ง ประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง ในระหว่างที่ตากแผ่นแป้งให้พลิกเพื่อกลับด้าน แล้วเก็บเรียงซ้อนกัน
6.  นำไปผิงไฟโดยวางลงบนไม้ไผ่มือเสือ ใช้ไฟอ่อน ข้าวควบจะพองขยายใหญ่ ผิงไฟให้เหลือง นำใส่ในตะกร้าไม้ไผ่สานที่เตรียมไว้ ควรรองด้วยผ้าพลาสติกแผ่นใหญ่คลุมกันถูกลม หรืออาจนำไปทอดกับน้ำมันร้อน เพื่อนำมารับประทาน หรือเป็นของว่าง

ประโยชน์ของภูมิปัญญา
          ข้าวควบ ยังมีอยู่ในวิถีชีวิตของชาวอำเภอเชียงกลาง เป็นอาหารว่างที่มีราคาไม่แพง และปลอดจากสารพิษ เกิดจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งยังเป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชน